Share on the chair (กว่าจะเป็น )


Share on the chair (กว่าจะเป็น)


เสียงดัง“ก๊อกแก๊กๆ”จากการรื้อค้นเครื่องมือช่างของพ่อผม ปลุกผมตื่นขึ้นในเวลาเกือบจะเที่ยงในวันที่ 14 เมษายน 2559 ให้หลังเทศกาลสงกรานต์ไปหนึ่งวัน เทศกาลที่ผมจะได้เวลากลับบ้านมาพักผ่อนหลีกหนีมลภาวะจากเมืองหลวง กิจกรรมแรกของวันที่ต่อจากการลืมตาของคนในยุคสมัยนี้ก็คือการควานหาปัจจัยที่ห้า หรือที่เรียกกันว่าโทรศัพท์สมาร์ทโฟนนั้นเอง ผมปลดล๊อคเพื่อเข้าโทรศัพท์และรีบกดไปดูเฟสบุ๊คก่อนเพื่อน ผมสไลด์จออย่างชำนาญราวกับว่ามันได้ปฏิสนธิขึ้นในครรภ์มารดาและเกิดมาพร้อมผม 


ภาพความบันเทิงของเพื่อนๆที่มีตั้งแต่เมื่อวานจนถึงป่านนี้ยังคงสนุกสนานกันอย่างต่อเนื่องกับเทศกาลใหญ่ประจำปีผมสไลด์เลื่อนจอลงมาเรื่อย จนกระทั่งเจอภาพๆนึงถูกโพสต์ไว้เมื่อวาน เป็นภาพกระเพาหมูกรอบไข่ดาวราดข้าวพร้อมกับบรรยายต่างๆนาๆรวมถึงการคอมเม้นท์โต้ตอบใต้ภาพนั้น พี่ตั้มเป็นผู้โพสต์ภาพนั้น... 




พี่ตั้มเป็นรุ่นพี่ผมคนหนึ่งเรารู้จักกันมานานตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีอยู่ที่กรุงเทพฯในย่านหัวหมาก ผ่านเครือข่ายพวกพ้องเด็กบ้านนอกดินแดนปักษ์ใต้ที่จากบ้านเกิดไปเพื่อเล่าเรียนตามหาความฝัน ความหวังของครอบครัว ในภาพจำของผมเกี่ยวกับพี่ตั้ม คือในวันรับปริญญาของเรา(ซึ่งเรารับพร้อมกัน)เรามายืนทำท่าซารางเฮโยกันตามประสายุคเกาหลีกำลังผลิบานกันอยู่เลย นึกทีไรก็น่าอายชะมัด นี่เผลอแปบเดียวก็ปาเข้าไปหลายปีแล้ว ซึ่งต่อมาพี่ตั้มแกก็ได้งานที่บ้านซึ่งดูเหมือนจะสบช่องให้แกได้ลงมาอยู่บ้านสบายใจเฉิบ
  

จริงๆผมนี่แหละที่อดใจกับความน่าอร่อยไม่ได้ผมจึงเป็นคนทักแกไปก่อนทางอินบ๊อกซ์ อันที่จริงผมต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัดปีละครั้ง ซึ่งที่นั้นผมจะเพื่อนน้อยมากๆหรือเรียกได้ว่าเป็นคนไร้เพื่อนก็ไม่ผิดเท่าไหร่และโดยทุกครั้งแล้วผมก็จะอยู่ของผมคนเดียวในบ้านหลังเล็กๆ กับฝูงแมวที่แม่ผมรับมาเลี้ยงอย่างนั้นไปจนกระทั่งผมกลับกรุงเทพฯ

 “เอ้า น้องลงมาบ้านแล้วเหรอ...เออๆเดวออกไปรับ” พี่ตั้มแกตอบมา อย่างนี้เป็นประจำซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น ผมมักจะได้รับความอนุเคราะห์จากพี่ตั้มคนนี้นี่เอง ที่คอยมารับผมไปกินข้าว กินกาแฟ น้ำชา ไปเจอเพื่อนๆพี่ๆน้องๆคนอื่นที่มีทั้งประสบความสำเร็จหรืออกหักจากความฝันและกลับภูมิลำเนากันหมดแล้วเหลือแต่ผมที่ยังบ้าบออยู่ที่บางกอกซึ่งใครๆที่เจอเขาก็บอกกลับบ้านได้แล้ว ทุกครั้งเราก็จะพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามประสาคนนานๆเจอกันที และในหลายปีที่เจอกันนั้นผมก็พอดูออกว่าแกก็ดูมีความสุข ภูมิใจกับงานที่ทำ และดูท่าว่าหน้าที่การงานของแกจะไปได้สวยเสียด้วย  

“ปี้นๆ” หลังจากจบการสนทนาออนไลน์ไม่กี่นาทีเสียงแตร่รถเก๋งคันเดิมของแกก็มาถึงหน้าบ้านผม ผมบอกแม่ว่า“พี่ตั้มมารับไปกินข้าวนะครับ”แม่ผมพยักหน้าตอบ “อือๆ” ส่วนพ่อผมก็ยืนอัดบุหรี่ยิ้มให้พี่ตั้มอยู่หน้าบ้าน ผมก็เดินออกไปทักทายแกตามปกติทุกอย่างดูคล้ายๆเดิมจนกระทั่งเราถึงร้านอาหารตามสั่งที่แกโฆษณามาตลอดทางว่าอร่อยนักหนาเพราะปรุงอาหารโดยใช้ไฟจากเตาถ่าน ซึ่งก็เป็นไปตามประสาของแกที่โคตรจะละเอียดอ่อนกับเรื่องแบบนี้(ซึ่งในความคิดผมมันไม่เข้าเรื่องเอาสะเลย) 
แต่ในปีนี้มันเปลี่ยนไป... 

ไม่นานนักเราก็ถึงที่หมายเรานั่งลงบนโต๊ะหินอ่อนของร้านซึ่งอยู่เลยชายคาร้านออกมาพอสมควรเนื่องจากโต๊ะในร่มคนนั่งเต็ม ดูท่าแล้วน่าจะอร่อยจริง แต่อากาศตอนนั้นเอาตรงๆคือ ร้อน ร้อนมาก โคตรร้อนมาก “น้ำเปล่าเย็นๆบริการตัวเองจ้า” เสียงตะโกนแจ้งบอกดังแจ้วๆของเชฟสาวรุ่นใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยความมันจากความร้อนของกระทะ ซึ่งประโยคนั้นมันน่าจะแปลว่ากูไม่เสิร์ฟน้ำนะ ตักเอง ....เราก็สั่งอาหารโดยที่ไม่ต้องดูเมนู 
“บุ๊ค พี่ลาออกจากงานแล้วนะ”...แกเริ่มบทสนทนา เหมือนต้องการจะสื่ออะไรกับผม ผมก็ฟังๆไปอย่างงั้นสารภาพตามตรงเลยว่าในใจผมนั้นไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่ คิดว่าคงเป็นความคิดชั่ววูบ หรืออะไรต่างๆนาๆ ประกอบกับเศรษฐกิจซึ่งเรียกมาตั้งแต่ยุคพ่อแม่แล้วว่า “ยุคข้าวยาก หมากแพง” จึงทำให้ผมไม่ปักใจเชื่อมากนัก .........
 “ออ ครับๆ” ผมตอบแก...  
สักแปบนึงลูกชายเชฟใหญ่ก็มาเสิร์ฟอาหารตามสั่ง“กระเพราไข่เยี่ยวม้า กับกระเพราหมูกรอบไข่ดาวคู่ครับ” มันวางจานกระเบื้องกระทบโต๊ะดัง “แก๊ก” แล้วก็รีบเผ่นไปนั่งจับเจ่ากับเกมออนไลน์ บ่นพึมพัมๆกับหูฟังที่คาดบนหัวมันต่อ ผมดูก็รู้แล้วว่าไอ้เด็กนี้น่าจะโดนบังคับมาช่วยแม่ทำงาน ใจจริงๆแล้วมันคงอยากไปสำราญกับเพื่อนที่ร้านเกมส์ตามประสาเด็กๆในวัยนั้น ผมได้แต่หัวเราะในใจแล้วก็หันมาเริ่มลงมือกินกระเพราหมูกรอบไข่ดาวของผมที่อยู่ตรงหน้ารสชาติของมันทำให้ผมลืมไปเลยว่ามีดวงอาทิตย์ส่องแสงลงกลางกบาล  



“บุ๊ค พี่จะออกไปทำร้านตัดผม ร้านตัดผมของพี่จะเป็นแบบนี้#$%$#^&” แกสานต่อบทสนทนา ผมจึงต้องออกจากภวังค์แห่งรสชาติแล้วเริ่มตั้งใจฟังสิ่งที่แกต้องการจะสาธยายต่อ ในบทสนทนานั้นใจของมันความล้วนเป็นเหตุผล ความฝัน ความหวังของแก และสิ่งที่แกจะเป็นไปต่อจากนี้...ผมได้แต่“ครับๆ อืม ออ” แต่มันก็น่าตลกเหมือนกันที่สิ่งเหล่านั้นที่แกพูดมามันทำให้ผมรู้สึกมีพลัง หึกเหิม คึกๆคั้กๆ ตื่นเต้นและลุ้นไปกับแกด้วย ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมพอจะช่วยแกได้ในตอนนั้นคือการรับฟัง ความพรั่งพรูหรืออาการสมองไหลของแก ถึงแม้ผมจะพอมีความรู้เรื่องตัดผมอยู่บ้างก็ตามเถอะแต่ผมก็ไม่อยากที่จะขัดคอคนกำลังอยากเล่า “พี่ทำดีที่สุดแล้วถ้ามันจะเจ๊งก็ช่างเหอะ อย่างน้อยก็ได้ทำ พี่ไม่สนผลของมันล่ะบุ๊ค” แกจบบนสนทนาด้วยประโยคนี้ ทำเอาความคิดผมกระตุกนิดหน่อย  



“พี่นี่มันชีวิตจริง ไม่ใช่เกมส์นะเวย”ในใจผมตอบแกอย่างนั้น...  
ผมก้มมองดูจานข้าวของผมที่แทบจะเอาไปใช้ใหม่ได้เลย พี่ตั้มยิ้มให้ผม“อร่อยไหมน้อง” ผมยิ้มให้แกแทนคำตอบ...“คิดเงินด้วยครับ” ผมกวักมือเรียกไอ้หนุ่มน้อยที่ตอนนี้แทบจะสิงเข้าไปอยู่ในเกมส์ “สองจานแปดสิบบาทครับ” หลังจากมันเดินไปถามเชฟสาวแล้วมันเดินมาพร้อมคำตอบน้ำเสียงห้วนๆ ผมสังเกตุเห็นอาการมันไม่ว่าจะหัวแม่ตีนมันที่จิกพื้น ขาของมันเกร็งพร้อมจะออกตัวเหมือนยูเซน โบลท์ เพื่อจะไปลุยเกมส์ของมันต่อ “พี่ตั้มผมเลี้ยงเอง” ผมล้วงกระเป๋ากางเกงนับเงินแล้วส่งให้เงินมันไปพอดี มันก็เอาเงินไปวางให้เชฟสาวแล้วมุ่งตรงไปจอคอมต่อตามเป้าหมายของมัน .......  



ระหว่างทางขณะอยู่บนรถนั้นเราก็ยังคงสนทนากันจริงๆแล้วก็มีหลายเรื่องแต่เรื่องร้านตัดผมของแกเป็นหัวข้อสำคัญของการสนทนา ถึงแม้ระยะทางจากร้านข้าวมาบ้านผมจะสั้นๆไม่กี่กิโลเมตรแต่เรื่องที่แกพูดนี่มันช่างยาวเสียยิ่งกว่ารอยต่อระวางรถไฟฟ้าสถานีเตาปูน-บางซื่อที่กรุงเทพฯเสียอีก จนกระทั่งถึงบ้านผมผมก็ลงจากรถเราก็กล่าวคำร่ำลากันตามปกติ แกก็ถอยรถออกจากซอยกลับบ้านแกไป เมื่อผมเดินพ้นรั้วบ้านความรู้สึกมีพลัง หึกเหิม คึกๆคั้กๆ ตื่นเต้นเมื่อกี้ค่อยๆหายไป ผมเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้านในเวลานั้นบรรยากาศที่บ้านผมช่างเงียบเหงาสิ้นดีเสียงแมวที่เคยก่อกวนผมตลอดกลับไม่เห็นมันแม้แต่เงา ผมนั่งลงบนเก้าอี้เขียนแบบเก่าๆของพ่อผม สักพักผมก็หลุดเข้าไปในความคิดของตัวเอง....

 ผมไม่ได้อยากจะออกไปตัดผมรึทำอะไรแบบแกหรอก แต่ผมกลับรู้สึกว่า ผมนี่มันแม่งโคตรจะไม่เอาไหนเลย จริงๆแล้วใครก็มีทั้งนั้นแหละความฝัน ผมคนนึงล่ะที่มีและความฝันของผมซึ่งมีในตอนเด็กๆกระทั่งในปัจจุบันมันก็ยังมีอยู่ ถึงแม้ผมจะได้ทำมันบ้างก็เถอะแต่จริงๆแล้วผมกลับไม่ได้จริงจังอะไรกับมันเลยสักนิด เรียกได้ว่าไม่เคยคิดจะจริงจังด้วยซ้ำเพราะอะไร ผมนั่งถามตอบกับตัวเองประหนึ่งเป็นคนจริตวิกล ก็เพราะอะไรล่ะ เพราะเขาว่ากันว่าทำแล้วไม่ได้เงินมีแต่เข้าเนื้อตัวเอง ทำแล้วไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าของคนอื่นทั้งนั้น แต่ตัวผมนี่ไม่เคย ไม่เคย ไม่เคย (เพลงไม่เคย 25 Hour ผมขำทั้งน้ำตา) ....“พี่ทำดีที่สุดแล้วถ้ามันจะเจ๊งก็ช่างเหอะ อย่างน้อยก็ได้ทำ พี่ไม่สนผลของมันล่ะบุ๊ค”... ผมชักจะอยากลองแล้วล่ะ
 …………..




หลายเดือนผ่านไป ชีวิตผมก็ต้องดำเนินต่อตามวิถีแห่งบุรุษผู้ต้องการเงินเดือนเป็นประจำ เย็นวันนึงผมได้รับข้อความทางอินบ๊อกซ์จากพี่ตั้ม หลังจากผมกลับจากบ้านนอกผมก็ไม่ได้คุยกับพี่ตั้มเท่าไหร่ “บุ๊ค...พี่อยากให้บุ๊คทำเพลงประกอบร้านตัดผมของพี่ คิดเท่าไหร่” นี่เป็นเครื่องยืนยันแล้วละว่าแกเอาจริงแน่ๆ
 “จะดีรึครับ”ผมตอบแก
 “เอาเลย...เอาแบบที่น้องชอบ” แกยังรั้นต่อ
 “จะดีรึครับ”ผมตอบแกแบบลังเลนิดหน่อย  
“เอาเลย...เอาแบบที่น้องชอบ พี่รู้น้องมีของ” แกยังรั้นต่ออีกนิด ของอะไรว่ะในใจผมคิดอย่างนั้น  
“ได้ครับพี่ แต่เรื่องเงินผมคงไม่คิดหรอก” ผมตอบแกแบบเอาก็เอา  


หลังจากจบการสนทนาบนระบบออนไลน์ไปสักพัก...ผมเดินไปฉวยเอากีต้าร์มาตั้งสาย “ตุ๊งนิ้งๆ” ประกอบสายแจ๊คเสียบเข้าลำโพงน้อยๆของผมเรียบร้อย


“ผมก็ทำดีที่สุดแล้วพี่ตั้มถ้าเพลงมันจะกากก็ช่างเหอะ อย่างน้อยก็ได้ทำ ผมไม่สนผลของมันล่ะพี่ตั้ม” 
ผมไม่ได้ตอบแกไปอย่างนี้นะ ผมรำพึงกับตัวเองราวกับว่าข้อความในหัวผมนั้นมันจะส่งไปถึงแก



ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม